วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัด




  หากถูกงูกัดควรตีงูให้ตายแล้วเก็บซากไปให้แพทย์ตรวจดูว่าเป็นงูประเภทใด จะได้ใช้เซรุ่มต้านพิษงูฉีดถูกชนิดและให้สังเกตรอยงูกัด ถ้าเป็นรอยงูกัดของงูพิษ จะปรากฏรอยเขี้ยวงูเป็น 2 จุด อาจเป็นรอยลากยาว ขณะกระชากหนี หรืออาจพองเป็นถุงน้ำ ถ้างูไม่มีพิษ รอยฟันบนผิวหนังจะเรียงเป็นแถว

พิษของงู
     มี 3 ประเภทขึ้นอยู่กับชนิดของงู
     1.พิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) เกิดจากงูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยมและงูทับสมิงคลา
     อาการ เริ่มจากแขนไม่มีแรง กระวนกระวาย ลิ้นเกร็ง พูดจาอ้อแอ้ ตามัว น้ำลายฟูมปาก เนื่องจากกล้ามเนื้อการกลืนเป็นอัมพาต หยุดหายใจ และตายในที่สุด
     2. พิษต่อระบบการแข็งตัวของเลือด (Hematotoxin) เกิดจากงูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา และงูกะปะ
     อาการ เริ่มจากปวดแผลมาก มีเลือดซึมออกจากแผล เลือดออกจากอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดกำเดา เหงือก ไอ อาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือด เกิดจากภาวะระบบไหลเวียนล้มเหลว ตายในที่สุด
     3. พิษต่อกล้ามเนื้อ (Mytotoxin) เกิดจากงูทะเล
     อาการ เริ่มแรก ปวดกล้ามเนื้อ ต่อมาปัสสาวะสีแดงคล้ำ จากกล้ามเนื้อถูกทำลาย ตามด้วยไตวาย และหายใจล้มเหลว

การปฐมพยาบาล
     1. ล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ ไม่ควรใช้เหล้า ยาสีฟัน ขี้เถ้าทาแผล
     2. บีบเลือดออกจากแผลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรใช้ปากดูดหรือเปิดปากแผลด้วยของมีคม
     3. ไม่ควรรัดเหนือบาดแผลให้แน่นมาก เพราะจะทำให้อวัยวะส่วนปลายขาดเลือดและเน่าตาย ควรแน่นพอสอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว
     4. การรัด ควรรัดเหนือและใต้บาดแผลประมาณ 3 นิ้วมือ
     5. การห้ามเลือดควรใช้ผ้าสะอาดกดแผลโดยตรง
     6. พยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้น้อยที่สุด เพราะเคลื่อนไหวมากทำให้พิษของงูเข้าสู่กระแสเลือดเร็วขึ้น
     7. วางอวัยวะส่วนนั้นให้ต่ำหรือระดับเดียวกับหัวใจ
     8. ให้ยาแก้ปวดได้ แต่ห้ามใช้ยาที่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์ ยาระงับประสาท ยานอนหลับ ยาดองเหล้า

ข้อควรระวัง
     - อาการของพิษงูเกิดได้ตั้งแต่ 15-30 นาที หลังถูกกัด หรือ อาจนานถึง 9 ชม. จึงต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง
     - การฉีดเซรุ่มแก้พิษงู ส่วนใหญ่ทำมาจากม้า ซึ่งอาจแพ้ได้ จึงควรฉีดต่อเมื่อมีอาการของพิษงูเท่านั้น

การแก้พิษงู ตามความเข้าใจของคนทั่วไป และผลเสียที่เกิดขึ้น

       - ขันเชนาะ ซึ่งเป็นวิธีที่คนมักจะคิดว่าได้ผล เพราะมันหยุดเลือดไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้ แต่อย่าลืมว่า พิษงูไม่ได้เดินทางผ่านทางเส้นเลือดเพียงอย่างเดียว มันสามารถเดินทางผ่านเส้นประสาทใต้ผิวหนังได้ และการกักพิษงู ให้อยู่ที่เดียวกันนานๆโดยขันเชนาะไว้นั้น จะยิ่งทำให้ความเข้มข้นของพิษ ทำลายเนื้อเยื่อในบริเวณนั้นๆเร็วขึ้น จนอาจทำให้เสียแขนหรือขาที่ถูกกัดไปเลย หนำซ้ำการใช้สายรัดห้ามเลือด ที่ไม่ถูกวิธี ยิ่งจะทำให้เนื้อเยื่อที่ถูกกดไว้เสียหาย กลายเป็นเนื้อตาย บวกกับพิษงูแล้ว ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ทางที่ดีควรขยับคนไข้ให้น้อยที่สุด และปลอบให้เขาผ่อนคลายลง หรือนอนนิ่งๆ ดีกว่าการขันเชนาะ หรือกักพิษไว้บริเวณใดบริเวณหนึ่งจะดีกว่าครับ และรีบนำส่งโรงพยาบาล โดยไม่ต้องรีรอ
การพยายามหาว่างูชนิดไหน ที่มากัดจนมากเกินไป จะทำให้เสียเวลา แน่นอนว่าถ้าเราเห็นงู และสามารถบอกแพทย์ได้ว่างูชนิดไหนกัด จะช่วยให้ง่ายต่อการรักษา แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ การนำผู้ถูกกัดส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเวลาผ่านไปมาก คนไข้ย่อมมีโอกาสพิการ หรือ เสียชีวิตมากขึ้น และคุณอาจกลายเป็นคนไข้เสียเอง ถ้าถูกงูกัดเข้าอีกคน
อย่าพยายามกรีดหรือเปิดบาดแผล ให้พิษงูระบายออกตามเลือดที่ไหล หรือไปบีบเค้น หรือดูดพิษจากบาดแผลด้วยปาก เรื่องนี้คงเห็นกันในละคร ที่พระเอกพยายามช่วยนางเอก หรือนางเอกพยายามช่วยพระเอกด้วยวิธีนี้ ซึ่งการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้ผล และทำให้เนื้อเยื่อเสียหายมากขึ้น จากการซ้ำเติมบาดแผลด้วยการบีบ กรีด เค้นเลือดออกมา และทำให้เกิดการติดเชื้อจากการใช้ปาก หรืออุปกรณ์ดูดพิษงูชนิดต่างๆ ที่ถามหากันมาก ซึ่งไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ว่ามันช่วยลดพิษงูจากบาดแผลได้จริง และเช่นที่ผมบอกไปแล้วครับ อย่าเสียเวลาทำสิ่งที่ไม่ได้ผล รีบพาผู้ถูกกัดส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดดีกว่า

      - การใช้น้ำแข็งประคบเพื่อหยุดพิษงู เรื่องนี้ก็เช่นกันครับ ไม่ได้ช่วยอะไร กลับทำให้เนื้อเยื่อตายจากความเย็นจัด หรืออาการน้ำแข็งกัด (Frost bite) และอย่าลืมว่า เส้นเลือดจะหดจากความเย็นก็จริง แต่น้ำแข็งไม่ใช่เซรุ่มครับ ไม่ส่งผลอะไรต่อพิษงูเลย
การใช้ไฟฟ้าช็อตที่แผล ข้อนี้ยิ่งแล้วใหญ่ครับ เชื่อว่าจะทำให้ “พิษตาย” วิธีนี้ทำให้คนไข้ยิ่งทรมาน และยิ่งทำให้ชีพจรเต้นแรง เป็นการเร่งให้พิษเดินเร็วขึ้นไปอีก และพิษงูเป็นสารเคมี ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันจึงไม่ตายจากการช็อตด้วยไฟฟ้าอย่างแน่นอน ไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิงครับ
ผมมีกรณีศึกษา สาเหตุหลักของการถูกงูกัดในสหรัฐอเมริกามาเป็นตัวอย่างครับ จากสถิติผู้ที่ถูกงูกัดในสหรัฐอเมริกา พบว่ากว่า 80% เป็นเพศชาย ในจำนวนนั้น 40% ถูกงูกัดในขณะดื่มเหล้ามึนเมา และ 60% ของบริเวณที่ถูกกัดทั้งหมด จะเป็นที่มือครับ แปลง่ายๆได้ว่า คนเมาเหล่านี้ เห็นงูแล้วพยายามจะไปจับ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ถูกงูกัดเข้าที่มือเป็นส่วนมาก
สถิติที่น่าสนใจอีกข้อคือ ในสหรัฐฯ งูพิษที่กัดคนนั้น ใน 3 ครั้งที่กัด จะมีเพียง 1 ครั้งที่มีการปล่อยพิษออกมา ส่วนอีก 2 ครั้ง พบว่าบาดแผลจะไม่มีพิษงู มีแต่รอยกัดเท่านั้น สาเหตุก็เพราะว่างูพิษนั้น จะใช้พิษของตนในการล่าเหยื่อเพื่อเป็นอาหาร และพิษของงูนั้น เมื่อหมดลงแล้ว กว่าจะสังเคราะห์ขึ้นใหม่ ต้องใช้เวลานาน หมายความว่าหากมันกัดพร่ำเพรื่อ มันจะไม่สามารถหาอาหารได้และอดตาย ดังนั้นงูส่วนใหญ่ที่กัดคน มักกัดเพราะตกใจ ไม่เจตนากัดเพื่อล่าหรือฆ่า จึงไม่ปล่อยพิษเต็มที่ เพราะเป็นการกัดเพื่อป้องกันตัว หรือหากจำเป็นจะปล่อยออกมาไม่มากนัก ซึ่งในภาษาฝรั่งเขาเรียกกันว่า “กัดแห้ง – Dry bite” และหากผู้ถูกกัดไม่มีอาการแพ้พิษงู ก็สามารถรักษาตามอาการได้ทันท่วงที
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่างูกัดแบบไหน คำตอบคือ อย่าไปสนใจครับ จะกัดแบบแห้งหรือไม่แห้ง ก็ให้ปฐมพยาบาลผู้ถูกกัดเหมือนกัน คือนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด อย่าเสียเวลาไปกับการหางู หรือไล่ตีมันให้ตาย หรือพยายามบีบแผลหรือล้างแผลเอง ณ จุดเกิดเหตุ

                 วิธีปฐมพยาบาลที่ควรจะทำหลังถูกงูกัด

1.พยายามให้คนไข้อยู่ในอาการสงบ หายใจลึกๆ เคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด ไม่ให้ชีพจรเต้นเร็ว เพื่อไม่ให้พิษงูกระจายสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น แล้วให้รีบนำส่งผู้ถูกกัดไปโรงพยาบาลโดยเร็ว
ในขณะที่นำคนไข้ถูกงูกัดส่งโรงพยาบาล
อย่างแรกเลยคือคนช่วยต้องใจเย็น ยิ่งไปตื่นเต้น ยิ่งทำให้คนไข้ตื่นตาม ให้ปลอบและพยายามให้คนไข้ ขยับตัวให้น้อยที่สุด ท่าที่ถูกคือให้นอนราบกับพื้น แล้วเคลื่อนย้ายในท่านอน เพราะทำให้หัวใจทำงานน้อยลง ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ควรทราบว่าสถานพยาบาลนั้นๆ มีเซรุ่มแก้พิษงูหรือไม่ เพราะหากไปผิดที่แล้ว จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากท่านอยู่ในพื้นที่ป่าหรือมีงูอยู่มาก ให้บันทึกเบอร์ติดต่อสถานพยาบาลใกล้เคียงเอาไว้ หรือจะสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ถึงกรณีการถูกงูในบริเวณนั้นๆไว้เป็นความรู้ก็ยิ่งดี
เมื่อให้ผู้ถูกกัดนอนแล้ว ให้ปลดนาฬิกา แหวน หรือสร้อยที่ใส่อยู่ออกให้หมด เพราะเมื่อบริเวณที่ถูกกัดนั้นบวมแล้ว สร้อยหรือสายนาฬิกาจะรัด และถอดออกยากมาก ซึ่งมันจะทำให้เลือดไหลไม่สะดวก ก่อให้เกิดการคั่งของพิษ ให้ผลเดียวกันกับการรัดแบบขันเชนาะ ซึ่งไม่ดีแน่นอน
หากเป็นไปได้หรือมีอุปกรณ์ ให้ทำเหมือนเข้าเฝือกบริเวณที่ถูกกัด โดยเข้าเฝือกตั้งแต่ข้อพับบนและข้อพับล่างของบาดแผล เพื่อป้องกันการขยับของกล้ามเนื้อ และจับคนไข้ให้นอนบนเปล กระดานรองหลัง หรือนอนราบบนเบาะรถ ก่อนทำการเคลื่อนย้าย  มันจะช่วยให้คนไข้ไม่ขยับตัวมากเกินไป และง่ายต่อการนำส่ง โดยให้คนไข้นอนวางแขนแนบลำตัวนิ่งๆมากที่สุด
แทนที่จะใช้การขันเชนาะ ให้เราชะลอการไหลของพิษ โดยการใช้ผ้าพันแผลแบบยืด พันให้แน่นจนพอตึง เพื่อสร้างแรงกด เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับบาดแผลงูกัด โดยใช้แถบผ้ายาวหรือผ้าพันแผล พันบริเวณเหนือแผล และพันต่อๆกันไปทางหัวใจ ด้วยแรงกดพอเหมาะ ไม่แน่นจนหยุดการไหลของเลือด และไม่หลวมจนไม่เกิดอะไรเลย พันไล่มาจนสุดความยาวผ้า การทำเช่นนี้จะเป็นการชะลอให้เลือดนำพิษเข้าสู่ร่างกายช้าๆ เพื่อการขับออกไปทีละน้อยได้ในภายหลัง หากไม่มีผ้าพันแผลแบบยืด ผ้าที่แนะนำคือผ้ายืดที่ใช้พันข้อของนักกีฬาผ้าพันนี้จะไม่ถูกแกะออกเลย จนกว่าจะถึงมือแพทย์ที่ทำการรักษา
ระหว่างนำส่ง บริเวณบาดแผลจะเริ่มบวมขึ้นๆ อย่าตกใจ เราสามารถบอกความรุนแรงของพิษได้ ตามอัตราการบวมของมัน สังเกตุได้โดยใช้ปากกาหรือเมจิก ทำเครื่องหมายบริเวณที่เกิดการบวมทุกๆ 15 นาที เราจะสามารถบอกความเร็วของพิษ ที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย และความแรงของการทำลายของมัน ว่ามากน้อยหรือรุนแรงเพียงใด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ในการวินิฉัยของแพทย์
ผมหวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ ในการปฐมพยาบาลผู้ถูกงูกัด จริงอยู่ที่วิธีเดิมๆที่เราเรียนรู้ ยังมีอยู่ในความคิดและความเชื่อ แต่อย่าลืมว่า นั้นเป็นวิธีที่สอนต่อๆกันมาหลายสิบปี จนในปัจจุบันได้มีการทดลอง สรรหาอุปกรณ์ และเก็บตัวอย่างสถิติที่ดีกว่า ดังนั้นเราควรเข้าใจวิธีการ และขั้นตอนในการรักษายุคใหม่
สิ่งที่ง่ายที่สุดแต่สำคัญที่สุด ก็คือการป้องกันไม่ให้งูกัด โดยสวมรองเท้าหุ้มข้อสูง แทนการใส่รองเท้าแตะ หากคุณต้องเดินป่า หรือไปในที่รกๆ และใช้ไม้หรือมีดยาวๆแกว่งไปตามพงหญ้า ในระหว่างเดิน เพื่อไล่งูไปจากทางเดินนั้น และอย่าล้วงหรือขวานหาสิ่งของด้วยมือเปล่า ในที่รกที่มองไม่เห็น เช่น รู หรือใต้ขอนไม้ 

งูมีพิษของประเทศไทย

              ปัจจุบันพิษของงูที่นำมาผลิตเซรุ่มมี 6 ชนิดด้วยกันคือ งูจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียงหางไหม้ พิษของงูต่างๆ เหล่านี้ได้นำมาผ่านกรรมวิธีการทำเซรุ่ม เพื่อรักษาผู้ที่ถูกงูกัด พิษงูแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน การรักษาจึงต้องตรงกับประเภทของงูที่กัด เซรุ่มแก้พิษงูจึงแยกออกเป็นประเภทของงูต่างๆ แต่ละชนิดออกไป

1. งูเห่า (Naja kaouthia)


           เป็นงูที่มีพิษมาก รุนแรงถึงชีวิต มีความยาวประมาณตั้งแต่ 1 - 2.24 เมตร และมีอยู่ชุกชุมทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อตกใจจะเผ่นหนี และพ่นลมออกมาดังฟู่ฟู่ คล้ายเสียงขู่จึงเรียกว่า งูเห่า กินหนู กบ เขียด นก ลูกเป็ด ลูกไก่ เป็นอาหาร

2. งูสามเหลี่ยม (Bungarus fasciatus)
           


           เป็นงูที่มีอำนาจพิษรุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิต ขนาดความยาวของลำตัวอยู่ช่วง 1-1.8 เมตร มัแนวกระดูกสันหลังยกเป็นสันสูงคล้ายสามเหลี่ยม สีลำตัวเป็นปล้องดำสลับเหลืองปลายหางกุด ปราดเปรียวในเวลากลางคืนเมื่อออกหากิน กินงูขนาดเล็ก กบ เขียด เป็นอาหาร

4. งูจงอาง (Ophiophagus hannah)



            เป็นงูที่มีขนาดยาวที่สุดในโลก ที่เคยพบยาวเกือบ 6 เมตร ลักษณะคล้ายงูเห่า แต่โตกว่ามาก เป็นงูพิษที่มีนิสัยค่อนข้างดุ สามารถแผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า งูจงอางเป็นงูที่กินงูด้วยกัน และสัตว์จำพวกตะกวด กิ้งก่า ตุ๊กแก เป็นอาหาร

5. งูกะปะ (Calloselasma rhodostoma)




            เป็นงูพิษขนาดเล็ก ความยาวลำตัวสูงสุดประมาณ 84 เซนติเมตร หัวเป็นรูปสานเหลี่ยมคอคอดเล็ก ตัวสีน้ำตาลแดง ลายรูปสามเหลี่ยมเปียกปูนสีน้ำตาลเข้มปนดำ เวลาถูกรบกวนจะแผ่ลำตัวแบนราบกับพื้น ฉกกัดได้รวดเร็ว กินหนู กินกบ เขียด เป็นอาหาร

6. งูแมวเซา (Daboia ruamensis)



            เป็นงูที่มีอำนาจพิษรุนแรง กัดแล้วทำให้มีเลือดออกในอวัยวะภายใน ต่างๆ  ลักษณะตัวอ้วนสั้น ลำตัวประมาณ 0.9-1.5 เมตร หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม ลำตัวพื้นสีน้ำตาลอ่อน และมีวงสีน้ำตาลเข้ม เมื่อถูกรบกวนจะพ่นลมออกมาทางจมูก งูชนิดนี้ฉกได้ว่องไวมาก กินหนูและนกเป็นอาหาร

7. งูเขียวหางไหม้ (Trameresurus)



         เป็นงูที่มีพิษ ลำตัวสีเขียวและหางแดง ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ชอบอาศัยและหากินอยู่บนต้นไม้ ชอบเลื้อยปีนป่ายตามต้นไม้ กิ่งไม้ หางซึ่งพัฒนาเป็นพิเศษ ใช้เกาะยึดและเหนี่ยวตัวได้อย่างเหนียวแน่น กินหนู กบ เขียด ลูกนกเป็นอาหาร



10อันดับงูมีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก

1. งูไทปันโพ้นทะเล Inland Taipan ( Oxyuranus Microlepidotus )


           งูไทปันโพ้นทะเลเป็นงูที่มีพิษร้ายเเรงที่สุดในหมู่งูที่อาศัยอยู่บนบก ปริมาณพิษที่มากที่สุดที่งูไทปันโพ้นทะเลเคยปล่อยออกมานั้นคือ 110มก. ซึ่งร้ายเเรงพอที่จะฆ่าคน 100คนหรือหนู 250,000ตัว!!! ด้วยพิษร้ายเเรงถึงชีวิตปริมาณ 50 ของ 0.03มก. ทำให้พิษของงูไทปันโพ้นทะเลนั้นร้ายเเรงกว่างูหางกระดิ่งโมจาฟถึง 10เท่า เเละร้ายเเรงกว่าพิษของงูเห่าถึง 50เท่า นับว่าเป็นโชคดีของเราที่งูไทปันโพ้นทะเลนั้นไม่ดุร้ายเเละมันไม่ค่อยจะโผล่ออกมาให้เห็นมากเเม้เเต่ในป่า ถึงเเม้ว่าจะยังไม่เคยมีการบันทึกผู้ตายจากงูไทปันโพ้นทะเล เเต่พิษของมันสามารถคร่าชีวิตคนได้ภายใน 45นาที

2. งูสามเหลี่ม Common Indian Krait(Bungarus Caeruleus)

10 อันดับงูที่มีพิษอันตรายที่สุดในโลก  รูปที่ 9

              เรียกอีกชื่อว่า งูมาลายัน งูสามเหลี่ยมนี้เป็นงูที่มีพิษร้ายเเรงที่สุดในสายพันธุ์งูสามเหลี่ยม ซึ่งมันสามารถพบได้ทั่วทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอกาสที่จะตายจากการกัดของงูสามเหลี่ยมนั้นสูงถึง 50% เเม้จะได้รับเซรุ่มเเก้พิษ งูสามเหลี่ยมเป็นงูที่กินงูตัวอื่น เเละเหยื่อของมันนั้นก็อาจจะเป็นงูสามเหลี่ยมด้วยกันเอง มันเป็นงูหากินกลางคืนเเละจะดุร้ายมากขึ้นเมื่อมีความมืดปกคลุม เเต่ปรกติเเล้ว มันเป็นงูขี้อายเเละจะซ่อนตัวมากกว่าสู้ พิษของงูสามเหลี่ยมนั้นเป็นเเบบนิวโรท๊อกซิน ซึ่งร้ายเเรงกว่าพิษของงูเห่าถึง 16เท่า พิษของงูสามเหลี่ยมนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงานอย่างรวดเร็วโดยการหยุดการส่งสัญญาณของเส้นประสาท หลังจากนั้น อาการที่ตามมาคือ อาการชาเเละการสั่นกระตุกอย่างรุนเเรง ซึ่งมักจจะจบด้วยร่างกายที่ขยับไม่ได้ เเต่โชคดีก็เป็นของเราเพราะการกัดจากงูสามเหลี่ยมนั้นไม่ค่อยจะเกิดเนื่องจากความเป็นสัตว์หากินกลางคืนของมัน ก่อนที่เซรุ่มเเก้พิษจะถูกผลิตขึ้นมานั้น โอกาสตายจากการกัดของงูสามเหลี่ยมนั้นสูงถึง 85% ถึงเเม้ว่าจะได้รับการรักษา โอกาสตายนั้นก็ยังมีสูง ความตายจากงูสามเหลี่ยมมักจะเกิดภายใน 6-12ชม. เเละถึงเเม้ว่าเหยื่อจะถูกส่งโรงพยาบาลทันเวลา อาการโคม่าอย่างถาวรเเละอาการสมองตายจากการขาดอ๊อกซิเจนก็อาจจะเกิดขึนได้

3.งูเห่าฟิลิปปินส์ Philippine Cobra ( Naja Philippinensis )


           เเม้ว่า งูเห่าส่วนใหญ่นั้นจะไม่มีพิษร้ายพอที่จะเข้ามาอยู่ในรายชื่อได้ เเต่งูเห่าฟิลิปปินส์นั้นคือข้อยกเว้น เมื่อวัดความร้ายเเรงของพิษกันหยดต่อหยดเเล้ว งูเห่าฟิลิปปินส์นั้นมีพิษร้ายเเรงที่สุดในหมู่งูเห่าด้วยกัน เเละมันสามารถยาวได้ถึง 3เมตร พิษของมันนั้นเป็นพวกนิวโรท๊อกซินที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจเเละระบบหายใจ ซึ่งพิษของงูเห่าฟิลิปปินส์ทำให้เกิดระบบประสาทเป็นพิษ, ระบบหายใจไม่ทำงาน เเละตายภายใน 30นาที เเต่พิษของมันนั้นทำความเสียหายเเก่เนื้อเยื่อน้อยมาก นิวโรท๊อกซินนั้นหยุดการส่งสัญญาณของระบบประสาทด้วยการไปบล๊อกจุดต่อของกล้ามเนื้อประสาท อาการของผู้ที่ถูกงูเห่าฟิลิปปินส์กัดนั้นได้เเก่ ปวดหัว, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดที่ลำตัว, ท้องเสีย, มันหัว, ชักกระตุก เเละตาย

4. งูจงอาง King Cobra (Ophiophagus Hannah)



          เป็นงูพิษที่ยาวและใหญ่ที่สุดในโลก พบที่ ไทย มาเลเซีย จีนตอนใต้ อินเดียตอนใต้ และ ฟิลิปปินส์ ที่เคยพบยาวเกือบ 6 เมตร ลักษณะคล้ายงูเห่า แต่โตกว่ามาก เป็นงูพิษที่มีนิสัยค่อนข้างดุ สามารถแผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า งูจงอางเป็นงูที่กินงูด้วยกัน และสัตว์จำพวกตะกวด กิ้งก่า ตุ๊กแก เป็นอาหาร

5. งูแมวเซา Russell’s Viper (Vipera Russellii) 


          งูแมวเซานั้นก็เลื่องชื่อในการพ่นพิษปริมาณ เมื่อมันกัดจะทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลัน และเกิดแผลพุพองบริเวณโดยรอบที่ถูกกัด ความดันเลือดจะต่ำลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลง เกิดการอาเจียนและในหน้าบวม นอกจากนี้ยีงมีผลให้ไตวาย เกิดอาการตกเลือด และบ่อยครั้งที่จะมีผลต่อต่อมใต้สมอง และต่อมนี้เองที่แม้มีขนาดเล็กเพียงเมล็ดถั่วแต่เป็นต่อมที่ควบคุมฮอร์โมนการเจริญเติบโตและอวัยวะเกี่ยวกับเพศ
สำหรับงูแมวเซานี้พบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย งูแมวเซานั้นเป็นงูที่เชื่อง แต่มันจะก้าวร้าวเมื่อถูกอุ้มยกขึ้น เมื่ออยู่ในสภาวะตกใจมันจะขู่ฟ่อเสียงดังที่สุดในบรรดางูทั้งหมด อาศัยอยู่ในหญ้ารก และมักถูกพบตามสวนฟาร์มของคน ส่วนอาหารของมันคือหนู กระรอก จิ้งจก ตุ๊กแก
งูแมวเซา เป็นงูที่มีพิษต่อผลการแข็งตัวของเลือด มีผลต่อไต ทำให้เกิดอาการไตวาย และเสียชีวิตได้

6. แบล็คแมมบ้า Black Mamba ( Dendroaspis Polylepis )


               เป็นงูพิษในตระกูลแมมบ้า เช่นเดียวกับไอ้ที่มีข่าวนี่แหละ แต่มันยาวได้ถึง2.5-3.2เมตรทำให้มันเป็นงูพิษที่ยาวที่สุดในแอฟริกา(แต่ถ้าในโลก ยังยาวแพ้KING COBRAอยู่ครับ) ทั้งๆที่กรีนแมมบ้าที่หลุดมามันแค่ประมาณ1.4เมตร เป็นไงล่ะ กรีนแมมบ้าห่วยไปเลยใช่ไหม!!
ชื่อของ Black mamba หาได้มาจากสีลำตัวเหมือนไอ้เจ้าตัวเขียวไม่ แต่ชื่อของมันน่ะ ได้รับมาจากสีในปากของมันซึ่งเป็นสีดำต่างหากล่ะ เพราะลำตัวของมันนั้นมีสีเทาเงินอมน้ำตาลมากกว่า แบล็คแมมบ้า ขึ้นชื่อว่าเป็นงูที่เลื้อยเร็วที่สุดในโลก ทั้งๆที่ตัวมันยาวบรม แต่มันกลับเลื้อยได้ถึง 16-20 กิโลเมตร/ชั่วโมง!!!!

7. Yellow Jawed Tommygoff (Bothrops Asper)


               พบที่ ตอนใต้ของเม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้

 8.งูสามเหลี่ยม (Multi Banded krait)


           พบน้อยตามธรรมชาติ เหยื่อมักเป็นชาวประมง พบแถบทะเลจีนใต้ จีน ไต้หวัน วานูอาตู ฟิจิ

9. งูเสือ Tiger Snake (Notechis Scutatus)


           พบที่ ออสเตรเลีย เกาะแทสมาเนีย หมู่เกาะแถบช่องแคบบาส และ เกาะนิวกินี

10. Jararacussu ( Bothrops Jararacussu )


            ปล่อยพิษครั้งละ 800 มิลลิกรัมต่อการกัด 1 ครั้ง พิษการกัด 1 ครั้ง สามารถทำให้คนตายได้ 32 คน พบที่ประเทศ อาร์เจนติน่า โบลิเวีย บราซิล และ ปารากวัย
















วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัตว์ที่มีพิษและสัตว์อันตรายในทะเล

        ใต้ทะเลมีสิ่งมีชีวิตที่สวยงามดึงดูดให้เราไปเยี่ยมชม ส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตนั้นก็ไม่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์หากว่าเราไปสัมผัสแตะต้องหรือเข้าใกล้ด้วยเจตนาหรือด้วยความบังเอิญก็ตาม เราเป็นนักท่องเที่ยวจึงควรรู้ไว้ว่าสิ่งใดมีอันตรายเพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงหรือแก้สถานการณ์เมื่อมีปัญหา

1. แมงกะพรุน (Jellyfish)



                     แมงกะพรุน  ชื่อนี้ค่อนข้างจะคุ้นเคยสำหรับนักท่องเที่ยวเพราะหลายคนเคยมีประสบการณ์กับพิษของแมงกะพรุนมาบ้างแล้ว แมงกะพรุนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีลักษณะตัวใสนิ่มคล้ายๆ วุ้น บางชนิดมีสีขุ่น แมงกะพรุนมีพิษทำให้คันปวดแสบปวดร้อน แต่บางชนิดก็ใส่เย็นตาโฟทานอร่อย
การป้องกัน  เวลาเล่นน้ำให้สังเกตรอบๆ ว่ามีแมงกะพรุนอยู่แถวนั้นหรือไม่ ถ้ามีก็ให้หลีกไปเล่นบริเวณอื่น  เวลาดำน้ำดูปะการังผิวน้ำให้คอยสังเกตดูด้วยว่ามีแมงกะพรุนลอยมาหาเราหรือไม่ ถ้ามีก็ให้หลบเสีย  การดำน้ำลึกควรสังเกตและหลบเลี่ยง อย่างตัวนี้ผมเจอที่หน้าเกาะค้างคาว  ว่ายวืบๆ ผ่านไปไม่ไกลเท่าไรจึงถ่ายมาให้ชมกัน
การรักษา อย่าเกาเพราะการเกาไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งเกายิ่งยับเยิน ใจเย็นๆ ให้ใช้ใบผักบุ้งทะเลที่ขึ้นอยู่บริเวณชายหาดขยำจนของน้ำเขียวๆ ในใบออกมาแล้วทาบริเวณที่โดนแมงกะพรุน ทาทิ้งไว้สักพักอาการก็จะบรรเทาลง หลังจากนั้นก็ลงเล่นน้ำต่อได้ หรือจะใช้น้ำส้มสายชูราดในบริเวณที่โดนแมงกะพรุนก็ได้

2. เม่นทะเล (Sea urchin)


                  เม่นทะเล  มักจะอาศัยอยู่บริเวณพื้นทะเลตามแนวปะการังและเกาะตามก้อนหินในน้ำ  ผู้ที่จะไปสัมผัสกับมันเข้าคือพวกที่เหยียบลงไปที่พื้น  ลักษณะเม่นทะเลดังในภาพ มีลักษณะกลมมีหนามยาวรอบตัว  ที่หนามจะมีสารพิษบางอย่างทำให้ผู้ที่ตำมีอาการเจ็บปวด การว่ายน้ำเล่นบริเวณผิวน้ำหรือการดำผิวน้ำจะไม่โดนเม่นทะเลตำเพราะเม่นทะเลอยู่ที่พื้น ถ้าหากเราเหยียบลงไปที่พื้นเราอาจจะเหยียบปะการังพังแล้วยังมีโอกาสโดนเม่นทะเลตำเอาได้  
วิธีการหลีกเลี่ยงคืออย่าลอยตัวเข้าไปในเขตน้ำตื้นเพราะอาจจะโดนแม่นทะเลตำ อย่าเหยียบบนพื้น  เพราะนอกจากจะโดนเม่นตำแล้วยังอาจจะทำให้ปะการังเสียหายด้วย
วิธีการรักษา  ให้ใช้ก้อนหินหรือตะกั่วที่ใช้ดำน้ำทุบบริเวณที่โดนตำให้หนามเม่นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากนั้นรอเวลา เวลาจะช่วยรักษาให้หายเจ็บได้  โดนตำแล้วต้องทน

3. ดอกไม้ทะเล (Sea Anemone)


                  ดอกไม้ทะเล  สวยงามแต่มีพิษ  ดอกไม้ทะเลจัดเป็นสัตว์อยู่ในกลุ่มย่อยเดียวกับปะการังแข็ง แต่พวกนี้ไม่สร้างโครงหินปูน บริเวณหนวดมีเซลล์เข็มพิษถ้าเราไปสัมผัสก็จะโดนเข็มพิษทิ่มแทงพิษจะทำให้ปวดแสบปวดร้อน ความรุนแรงขึ้นอยู่กับชนิดของดอกไม้ทะเล  จู่ๆ คนเราจะไปจับดอกไม้ทะเลเล่นก็คงไม่ใช่ แต่ที่อาจจะไปโดนเข็มพิษของมันเนื่องจากไปไล่จัลปลาการ์ตูนในการดอกไม้ทะเล  ทั้งนี้เพราะปลาการ์ตูนกับกอดอกไม้ทะเลพบเห็นได้แม้ในระดับน้ำตื้นเพียงแค่เข่าของเรา  ดังนั้นจึงอย่าไปไล่จับปลา หรือแย่ปลาการ์ตูน
การป้องกัน ไม่จับเล่นเพราะเห็นว่าสวยงาม ดูแต่ตาจะปลอดภัย
การรักษา  ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่โดนพิษ

4. ปลาสิงโต (Common lionfish)



ปลาสิงโต อาศัยอยู่บริเวณแนวปะการัง พบได้แม้ในระดับน้ำตื้น อย่างตัวนี้พบที่ระดับน้ำประมาณ 1. 5 เมตร  เป็นปลาที่มีรูปร่างและสีสันสวยงามมาก ปลาชนิดนี้จะว่ายช้ามากเพราะว่าเขาไม่กลัวอะไรเนื่องจากมีพิษรอบตัว  เนื่องจากเป็นปลาสวยและเชื่องช้าจึงอาจจะมีใครรู้เท่าไม่ถึงกาลไปไล่จับมันเล่นก็จะถูกเข็มพิษทิ่มแทง บาดแผลที่โดนเข็มพิษจะปวดมากเหมือนโดนปลาดุกตำ
การป้องกัน  เห็นปลาสวยๆ อย่าเข้าใกล้หรือไปจับเล่น   เท่านั้นเอง
การรักษา ไม่รู้รักษายังไง แต่ควรทานยาแก้ปวดเพื่อให้บรรเทาอาการปวด แล้วปล่อยให้เวลาเป็นตัวรักษา

5. แตนทะเล (sea wasp)

              แตนทะเล เป็นสัตว์ขนาดเล็กล่องลอยอยู่ในน้ำ บางครั้งก็มีบางครั้งก็ไม่มี  ส่วนใหญ่มักจะพบในการลงดำน้ำในช่วงเช้ามากกว่าการลงดำในช่วงบ่าย  ลักษณะเป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็กจิ๋ว โปรดสังเกตจากในภาพ เห็นหมั๊ยครับ   แตนทะเลจัดอยู่ในจำพวกแพงตอนขนาดเล็กมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ มองดูคล้ายว่าในน้ำมีตะกอน  สิ่งที่เราสังเกตได้คือว่าน้ำจะขุ่นกว่าปกติเหมือนมีเศษตะกอนลอยอยู่ในน้ำ ซึ่งเราก็จะแยกไม่ออกว่านั่นคือตะกอนหรือแตนทะเล เราจะรู้ก็ต่อเมื่อโดนมันต่อย อาการเมื่อโดนแตนทะเลต่อยจะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เหมือนโดนเข็มขนาดเล็กจิ๊ม แต่เจ็บไม่เท่าไรพอทนได้
การป้องกัน  ไม่มีวิธีป้องกัน หากลงน้ำแล้วก็ต่อยถ้าทนได้ก็ดำต่อไป ถ้าทนไม่ไหวก็ขึ้นมารอบนเรือ ที่เขียนมาก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่าเวลาลงดำน้ำแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ นั่นน่ะกำลังโดนแตนทะเลต่อย เดี๋ยวจะสงสัยว่าเป็นอะไรทำไมถึงเจ็บ
การรักษา ส่วนใหญ่ไม่แพ้ เมื่อโดนต่อยก็จะรู้สึกเจ็บเฉยๆ แต่สำหรับคนที่แพ้จะมีอาการเป็นจุดแดงและบวมเล็กน้อย แก้ไขด้วยการทานยาแก้แพ้  แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้มากจะต้องไปพบแพทย์ฉีดยาสักเข็มก็หาย  ที่สำคัญเมื่อโดนแตนต่อยแล้วเกิดตุ่มแดงและคันห้ามเกา ปล่อยไว้อย่างนั้นถึงแม้จะคันก็ทนเอาหน่อย  เมื่อทานยาหรือฉีดยาแล้วแผลยุบหายไปก็จะไม่มีแผลเป็น ไม่เสียโฉม


6. หอยมือเสือ (Giant clam)


              หอยมือเสือ  เป็นสิ่งที่สวยงามในทะเล เนื้อเยื่อบริเวณปากมีสีสันสวยงามเหมือนดอกไม้ สีม่วง สีเขียว สีฟ้า สารพัดสี  เราสามารถพบหอยมือเสือได้แม้ในระดับน้ำตื้นๆ  อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือการเหยียบเข้าไปในปากจะโดยฝาหอยหนีบ แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้ยากมากเพราะหอยจะคอยระวังตัว หากเราเข้าใกล้เขาก็จะหุบปาก  อย่าไปแย่เล่น หรือเผลอไปเหยียบก็ปลอดภัยแล้ว

7. ปะการัง (Corals)


             ปะการัง  พิษของปะการังมีสองแบบ  คือ 
1. พิษจากเมือกของปะการัง ปะการังหลายชนิดมีเมือกที่เป็นพิษ เมื่อสัมผัสแล้วจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนไปหลายวัน  บางชนิดมีพิษที่รุนแรงเช่นปะการังไฟ เมื่อโดนแล้วปวดแสบปวดร้อนและเป็นรอยไหม้เป็นแผลเป็น  ดังนั้นเมื่อดำน้ำในเขตน้ำตื้นจงหลีกเลี่ยงที่จะไปสัมผัสกับปะการังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปะการังชนิดใดๆ ก็ตาม เพราะหลายชนิดที่มีพิษ ยากที่จะจดจำ จำง่ายๆ ว่าอย่าไปสัมผัสไม่ว่าชนิดใดก็ตาม
2. พิษจากการบาดเจ็บจากการขีดข่วนหรือโดนคลื่นซัดเข้าไปกระแทกเข้ากับปะการัง  ในช่วงที่น้ำลงจะทำให้แนวปะการังอยู่ในระดับน้ำตื้นมากๆ บางจุดปะการังโผล่พ้นน้ำในช่วงที่น้ำลงต่ำสุด อาจทำให้การดำน้ำในเขตปะการังน้ำตื้นเกิดอันตรายเมื่อเราเซไปกระแทกกับปะการัง หรือโดนคลื่นชัดเข้าไปกระแทกกับปะการัง ผิวของปะการังมักจะมีผิวหยาบขุรขระและแหลมคม หากไปกระแทกเข้าก็จะเกิดแผลในบริการที่กระแทก  นักท่องเที่ยวก็เสียโฉม  แนวปะการังก็อาจจะหักเสียหาย  สรุปว่าเสียกันทั้งสองฝ่าย แต่ปะการังมันไม่เจ็บแต่คนซิเจ็บ  ถ้ากลัวเจ็บก็ต้องระมัดระวังโดยการไม่ดำเข้าไปในเขตน้ำตื้นจนเกินไป

8. หอยนางรม (Oyster)


                   หอยนางรม  เป็นพิษภัยที่คนมองข้าม  หอยนางรมจะเกาะอยู่ตามโขดหินในระดับผิวน้ำตั้งแต่ระดับน้ำสูงจนถึงระดับน้ำต่ำ ในการครั้งในที่ดำน้ำนักท่องเที่ยวอาจจะพยายามยืนบนก้อนหินใต้น้ำที่มองไม่เห็น อาจจะเป็นในลักษณะของการเหยียบแบบสะเปะสะปะ หากก้อนหินมีหอยนางรมเกาะอยู่ก็จะโดนบาดเหวอะหวะ บางท่านหัวใสใส่รองเท้าขณะดำน้ำ แต่ไม่ใช่ว่าจะรอดเพราะอันตรายอีกอย่างคือการที่โดนคลื่นซัดเข้าไปกระแทกกับโขดหินที่เต็มไปด้วยหอยนางรม ปัญหานี้เกิดจากการก้มหน้าดำน้ำแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ หมายถึงมองดูแต่ที่พื้นอย่างเดียวจนกระทั่งโดนคลื่นซัดเข้าใกล้โขดหินแล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง ถ้าโดนคลื่นกระแทกไปโดนกับโขดหินที่มีหอยนางรมล่ะก็รับรองได้ว่าบาดเจ็บเสียโฉมแน่นอน

9. เพรียงทะเล (barnacle)


               เพรียงทะเล  ปัญหาเดียวกับหอยนางรม แต่มักจะเกาะติดอยู่กับโขดหินในระดับผิวน้ำ  ปัญหามักเกิดจากการเดินเที่ยวตามโขดหินชายทะเล หากจะเดินเล่นตามโขดหินต้องใช้ความระมัดระวัง ถึงแม้ใส่รองเท้าจะป้องกันได้  แต่ว่าโขดหินมักจะลื่น หากเสียหลักลื่นล้มอาจจะล้มไปกระแทกกับโขดหินที่มีเพรียง หรือหอยนางรมเกาะก็จะทำให้ได้รับความบาดเจ็บ

10. งูทะเล (Hydrophiinae)


               งูทะเล  เวลาไปเที่ยวทะเลอาจจะเจองูทะเลอยู่สองประเภท
1. งูทะเลที่อยู่ตามแนวปะการัง มักมีลายปล้องขาว-ดำ งูเหล่านี้ไม่น่ากลัวเพราะงูพวกนี้จะกลัวคน เพียงแค่ได้เห็นคนก็ว่ายน้ำหนีไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวแต่ถ้ามันกัดก็ไม่ต้องกลัวเพราะเป็นงูที่ไม่มีพิษ หากโดนกัดก็เพียงแค่ฉีดยากันบาดทะยักเท่านั้นเอง  งูทะเลที่มีพิษก็มีแต่จะอยู่ในเขตน้ำลึกซึ่งนักท่องเที่ยวไม่มีโอกาสจะเจอ  ดังนั้นจึงสบายใจได้   สรุปว่างูทะเลในแนวปะการัง ไม่มีพิษภัยเพียงแค่ทำให้ตกใจกลัวเท่านั้นเอง
2. งูที่อยู่บนหัวคน งูประเภทมีมากกว่างูที่อยู่ตามแนวปะการัง เป็นงูที่ไม่มีพิษภัย  เพียงแต่ทำให้เกิดความรำคาญเท่านั้นเอง  แก้ไขง่ายๆ ด้วยการวางเฉย เดี๋ยวงูมันก็ไปเอง


วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สัตว์มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก

1. แมงกระพรุนกล่อง(Box Jellyfish)


           แมงกระพรุนกล่องมันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้นจะช็อค และหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด


2. งูจงอาง(King Cobra)


            งูจงอางป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตรอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนของมันนั้น ส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญมันพบได้ทั่วไปในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย

3. หอยเต้าปูนลายหินอ่อน(Marbled Cone Snail)


           หอยเต้าปูนตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันเพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆแล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลยแค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานคุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบการหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน

4. ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน(Blue-Ringed Octopus)



          ปลาหมึกแหวนน้ำเงินมีขนาดที่เล็กมากประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ ด้วยถ้าโดนปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดคุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่าพิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอและคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบการหายใจจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด 

5. แมงป่องเดธท์ สตอล์คเกอร์(Death Stalker Scorpion)


           แมงป่องโดยทั่วไปนั้นถึงแม้ว่าจะโดนกัดพิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่...มันไม่ใช่สำหรับแมงป่องพันธุ์เดธท์ สตอล์คเกอร์เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัดคุณจะปวดอย่างมหาศาลจากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาตและตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมากแต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้

6. ปลาหิน(Stonefish)


          ถ้าแข่งกันในเรื่องของความสวยงามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้ว เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก็ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาตแล้วก็ตายได้ในที่สุด

7.  แมงมุมบราซิล(The Brazillian Wandering Spider)


            แมงมุมบราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมากเพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

                      8. งูไทปันโพ้นทะเล(Inland Taipan)


           งูไทปันถูกพบได้มากในทวีปออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250,000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภายใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อายไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน


9. กบลูกดอก(Poison Dart Frog)


          กบลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าฝนในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20,000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้พิษของมันถูกนำมาใช้ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก

                            10. ปลาปักเป้า(Puffer Fish)


            ปลาปักเป้าเป็นสัตว์มีพิษที่มีคนนิยมบริโภคมากโดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น(ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวกผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้า แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้าต้องมีใบอนุญาติ ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไปอาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที